เราทุกคนมีด้านสว่างที่แสดงออกให้โลกภายนอกได้รับรู้ และแน่นอน ย่อมมีด้านมืดที่กดเก็บมันเอาไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ
ยามใดที่ความมืดมิดนั้นเริ่มแผลงฤทธิ์
มันมักจะพาเรื่องแย่ๆอีกมากมายมาเป็นเพื่อนกับมัน
ลองย้อนนึกดู
เวลาที่เรารู้สึกเหนื่อย ท้อ เศร้าหมอง มืดมน
เมื่อถึงจุดหนึ่ง เรามักจะเจอกับประสบการณ์อะไรแปลกๆ หนักๆ แย่ๆ หลายๆ อย่างมาพร้อมๆ กัน ที่ชวนให้คิดว่า เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามเราแน่ๆ
แต่ลืมดูที่ใจของเราเองว่า ที่จริงแล้ว เรานี่แหละที่เป็นคนใช้จิตที่มีความคิดด้านลบดึงเรื่องร้ายๆต่างๆ เข้ามาหาตัวเอง
“เพราะใจมันไม่ดี ดวงเลยไม่ดี
ที่ดวงดี เพราะใจมันดี”
ใครสักคนได้กล่าวไว้
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่นึกได้ระหว่างทำแผลที่เดินสะดุดจนหกล้มเมื่อวันก่อน
ย้อนไปก่อนจะล้ม
6 วัน ทะเลาะกับน้องครั้งใหญ่ และเสียใจมาก
5 วัน ขับรถกลับบ้านตอนกลางคืน รถปีนแบริเออร์แรงมากเสียงดังมาก แต่ไม่เป็นไรยังวิ่งต่อได้
3 วัน พบว่ายางแบนและแก้มยางรถยนต์บวม เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากๆ
2 วัน เสียเงิน เปลี่ยนยางรถ ส่วนจิตใจเริ่มดีขึ้นแล้วแต่ร่างกายไม่เอาด้วย
1 วันก่อนหน้าจะล้มก็เครียดจนอาเจียนไม่หยุด แต่ก็ต้องหอบสังขารไปทำงาน ตอนค่ำสะดุดท่อแล้วครั้งนึงแต่ไม่ล้ม
ในวันนั้นวันที่ล้ม เข้าเวร มีงานเข้ามาเยอะมากจนสับสนว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง
ตกเย็นจะรีบไปงานศพ ก็ล้มจับกบตอนจะข้ามถนนไปขึ้นรถนั่นเอง เดชะบุญรถที่กำลังมาเค้าชะลอให้
นี่คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า เมื่อใจเราไม่ดี ดวงเราก็เลยไม่ดี เหมือนปีศาจที่แอบอยู่ บางคนก็บอกว่าเจ้ากรรมนายเวรเค้ามาตาม ซึ่งจริงๆแล้วเรานี่แหละ เป็นคนเรียกเรื่องแย่ๆมาด้วยพลังของจิต ยิ่งเข้มข้นมาก ก็ยิ่งประดังเข้ามามาก
ความคิดของเรามีแรงดึงดูด
ถ้าเราคิดบวกได้ เราก็คงจะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา แต่ชีวิตเราต้องเจอทั้งเรื่องแย่และเรื่องดีไง ถึงจะเรียกว่าชีวิต
ไม่หวังว่าจะไม่เจอทุกข์
แต่หวังว่าจะมีสติ และเข้มแข็งนานพอที่จะเห็นความทุกข์หายไป
เป็นกำลังใจให้ตัวเอง. ✌🏼
..ในรูปคือแผลที่ล้มที่กล่าวถึงไป วันนี้วันที่ 3 แล้ว เหมือนปีศาจตาเดียวกำลังสะแหยะยิ้มไหม
.. แต่หลังจากล้มก็ทำให้คิดได้หลายอย่าง กรรมก็ส่วนหนึ่ง พลังของจิตก็ส่วนหนึ่ง อาจแสดงผลรวมกันหรือแยกกันก็ได้ แต่มักเห็นชัดเวลารวมกันมากกว่า ..
แผลใกล้จะหายแล้ว คันยิบๆๆๆ
ตอบลบ