***********************************
อุทิศแด่ เพลเยอร์

บทความนี้มีที่มาจากน้องเหมียวแสนรักของเรา เค้าชื่อ "เพลเยอร์" เป็นแมวสายพันธุ์อเมริกันช็อตแฮร์ บราวน์แท็บบี้ มีถิ่นกำเนิดแถวตลาดซันเดย์ จตุจักร เรารับน้องมาดูแลตั้งแต่ 17 เม.ย.57 ตอนนั้นน้องอายุประมาณ 2 เดือน ก็เรียกได้ว่าเป็น 9 ปีที่เติบโตมาพร้อมๆ กัน เราเป็นเด็กต่างจังหวัด มาผจญภัยในเมืองกรุงลำพัง ก็มีน้องนี่แหละที่เป็นเพื่อนรักของเรา อยู่ด้วยกันทุกช่วงเวลาเลยก็ว่าได้
เพลเยอร์เป็นแมวที่น่ารักมาก แข็งแรง เรียบร้อย สุภาพ ร้องน้อย ไม่บ่น กินเรียบร้อย เข้าห้องน้ำก็เรียบร้อย ไม่เคยทำของในบ้านพังเลย แม้แต่ทำล้มก็ไม่เคย เรารักเพลเยอร์มาก เหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่งเลย
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 65 ที่ผ่านมา เพลเยอร์ได้จากไปอย่างสงบ ด้วยโรคPolycystic Kidney Disease (PKD) และลูคิเมียแมว ในอ้อมกอดของเรา เดี๋ยวจะขอเล่าย้อนถึงตอนที่รู้ว่าเป็นโรคเหล่านี้ และการดูแลของเรา ที่ทำให้น้องอายุยืนยาวได้ขนาดนี้
***********************************
ตอนรับน้องมาแรกๆ ก็พาไปตรวจสุขภาพและทำวัคซีนตามปกติที่ควรทำ ต่อมาตอนปี 58 เพลเยอร์อายุครบทำหมัน เราพาไปคลินิคประจำ เค้าใช้ pcr แล้วเจอว่าเป็นลูคีเมีย เลยไม่ยอมทำหมันให้ เราก็เลยพาไปที่โรงพยาบาลสัตว์ชื่อดัง มีหลายสาขา ราคา(ไม่)เป็นมิตร แห่งหนึ่ง ก็มีการตรวจความพร้อมทำหมันเบื้องต้น ก็เจอว่าเป็นลูคีเมียแมวเหมือนกัน หมอเค้าเลยถามความสมัครใจเรา ว่าจะเอายังไง ถ้าทำหมันมันก็จะเสี่ยงกว่าแมวตัวอื่นนะ ต้องวางยาสลบ อธิบายความเสี่ยงต่างๆ แต่สุดท้ายก็ทำเพราะตรวจเลือดแล้วค่าเลือดดี
จากนั้นเราก็รับเย่อกลับมาบ้าน ตลอดหลายปีก็ดูแลเป็นพิเศษเลย จามแค่ครั้งเดียวก็พาแจ้นไปหาหมอแล้ว และให้กินอาหารเสริมของแมวลูคีเมีย ยี่ห้อ Immuplex B gold มาเรื่อยๆ พอจะป่วยก็ให้กินคราวละสัปดาห์ กระปุกนึงหลักพันแหละ แต่ก็ต้องยอมเพราะรักเค้า สมัยก่อนหาซื้อยาก แต่เดี๋ยวนี้เจอในแอพช้อปปิ้งหลายที่เลยล่ะ
พอเย่ออายุประมาณ 3 ขวบกว่า ก็มีอาการซึม ป่วย ไม่กินอาหาร พาไปคลินิคประจำ หมอก็หาสาเหตุไม่ได้เลยพาไปโรงพยาบาลสัตว์ชื่อดังอีกครั้ง หมอให้แอดมิทดูอาการให้ iv เข้าเส้น จากนั้นช่วงเช้าหมอเจ้าของไข้มาเค้าก็ทำทุกอย่าง x-ray, ultrasound, ตรวจเลือดละเอียด แล้วเค้าก็บอกผลเรา บอกว่ามีแก๊สในลำไส้ เลยทำให้ปวดท้อง ท้องผูก ไม่รู้เพราะไปกินอะไรมารึป่าว ซึ่งหมอ ตรวจเจอว่ามีรอยโรค polycystic kidney disease จากการ ultrasound โดยบังเอิญนะ ลักษณะไตมีผิวขรุขระ มีถุงน้ำหลายใบ ให้ระวังการกินอาหาร และโรคนี้อาจจะมีอาการหรือไม่มีอาการแสดงก็ได้ หมอที่ซาวด์เจอคนแรก เค้าบอกเราแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ว่าน้องจะตายด้วยโรคนี้ เพราะรักษาไม่หาย แต่ถ้าโชคดี โรคไม่พัฒนา ก็อาจจะไม่เป็นก็ได้ ซึ่งเราก็รับรู้มานานแล้วล่ะ
เย่อก็เลยได้กินอาหารดี เกรด Holistic ตลอดมา
เวลาผ่านไปหลายปี มีป่วยเล็กๆ น้อยๆ กัดเราบ้าง ตีกัน รักกัน อ้อนกัน แต่ทุกครั้งก็หาหมอ ได้ยา แล้วก็ผ่านกันมาได้ ช่วงไหนเราไม่อยู่บ้าน เราก็จะเอาเย่อไปฝากโรงพยาบาลบ้าง หรือโรงแรมแมวบ้าง น้ำหนักก็ขึ้นมาเรื่อยๆ จนคงที่อยู่ที่ 5.8 กก.
***********************************
มาถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 64 ก็น่าจะประมาณเดือน ก.ย. เย่ออายุประมาณ 7 ปีกว่าๆแล้ว เราสังเกตว่าหูเย่อมีเหมือนเนื้องอก งอกออกมา สักพักแล้ว แต่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับมีน้ำตาไหลไม่หยุดในข้างเดียวกัน ก็พาไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก็มีการเจาะเอาของข้างในนั้นไปตรวจ เจอแต่เลือดกับเนื้อเยื่อนิดหน่อย ซึ่งการไปแต่ละครั้งเหนื่อยมาก ทั้งเราและเย่อ หมอตรวจหู ตรวจตา ตอนนั้นหมอก็ตรวจเลือดด้วย ก็เจอว่าเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าเกณฑ์แล้วแต่ยังไม่มาก ยังกินข้าวได้กินเยอะด้วย ตอนนั้นได้ยาเกี่ยวกับเลือดจางมากิน แต่ลืมไปเลยไม่คิดว่าเพราะสาเหตุโรคไต คิดแค่ว่าเย่อมีลูคีเมีย ตอนมาคุยกับหมอ หมอบอกเรื่องเนื้องอกที่หูว่า หรือมันเป็นเนื้อร้าย อาจจะต้องตัดหูนะคะ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปอีกเพราะคิวยาวมาก เหนื่อยมากทั้งคนและแมว (ทุกครั้งที่เปลี่ยน รพ เราจะแจ้งหมอเสมอว่าเย่อมีลูคีเมียค่ะ)
 |
ติ่งเนื้อที่สะบัดจนเลือดมาคั่งอยู่ |
เราก็หาข้อมูลรอบข้าง ด้วยอินเตอร์เน็ตที่มี ก็มาเจอเพจฟาร์มแมว เค้าบอกว่า ที่แมวน้ำตาไหล และชอบสะบัดหัว เพราะมีปัญหากับหู โดยเฉพาะ ไร และ ยีสต์ ที่มันไม่หาย เราลองรักษายีสต์ แต่เย่อเหมือนเจ็บเลยทำอะไรไม่ได้มาก ล่วงเลยจนเวลาผ่านไปอีก 2-3 เดือน
***********************************
ตอนนั้น ธ.ค.64 เราไปอบรมต่างจังหวัด เลยเอาเย่อไปฝากโรงแรมแมว ก็กะจะให้เค้านอนห้องกว้างๆ โล่งๆ สบายๆ แต่ที่ไหนได้ เหลือแค่ห้องทึบ มีแมวข้างนอกอีกเป็นจำนวนมาก เย่อคงคิดว่าแม่พาหนูมาทำอะไรเนี่ย เย่อคงเครียด ภูมิตก กลับมาป่วยเหมือนเป็นหวัด อาการตอนนั้นกินข้าวได้น้อยลง น้ำหนักลด เราเลยพาไปหาหมอเหมือนเดิม ก็ได้ยารักษาตามอาการ แต่ไม่ได้ตรวจเลือด ช่วงแรกๆ นี้ เราคลำเจอไตครั้งนึงแต่ไม่รู้จริงๆ ว่านี่ไต หารูป anatomy ของแมวมาเทียบก็ดูแล้วเข้าใจไปเองว่านั่นคือกระเพาะปัสสาวะ เพราะเราก็พามันไปฉี่ ฉี่เสร็จที่คลำเจอตรงนั้นก็หายไป
หลังจากนั้นอีกประมาณ 2 เดือน ประมาณ ก.พ.65 เย่อผอมลงอีก น้ำหนักน้อยลงอีก ตอนนี้เหลือ 4 โลกว่าแล้ว เราก็ลูบตัวเค้า แต่เหมือนเวลาลูบแล้วมันสะดุดมือแถวๆ ท้อง ก็บริเวณเดิมที่เคยคลำเจอนั่นแหละ แต่ก็ตะหงิดๆ แล้วว่ามันไม่ปกติเลยพาไปหาหมอพร้อมแจ้งอาการทุกอย่าง ถามหมอว่า ตรงนี้ใช่ไตรึป่าว หมอบอกว่าใช่ เราร้องไห้ต่อหน้าหมอตรงนั้นเลย ว่าเย่อเป็นโรคไต หมอดุเราเพราะแกถามเราแล้วเรานิ่ง อึ้ง ไม่กล้าพูดกลัวน้ำตาจะไหลอีก แต่สุดท้ายการรักษาช่วงนั้นคือพาไปให้น้ำเกลือวันเว้นวัน ครั้งละ 100 cc แต่ไม่ได้ดูอะไรเพิ่มมากนัก มานึกได้ว่าเคยตรวจเจอถุงน้ำในไตเมื่อหลายปีก่อน
เราเลยพาเย่อเปลี่ยน รพ ไปหาโรงพยาบาลชื่อดังอีกครั้งที่เคยอัลตร้าซาวด์เจอ เพราะรู้จักที่เดียวที่มีเครื่องอัลตร้าซาวด์ ตอนนั้นตรวจเลือดแล้วเม็ดเลือดแดงตกมาก เลยให้แอดมิท และให้น้ำเกลือเข้าเส้น จิ้มซาวด์ดูไต ปรากฏเจอว่าถุงน้ำนั้นใหญ่มากแล้ว ดันให้ไตโตขึ้น เบียดเนื้อไต หมออยากช่วยด้วยการเจาะเอา content ในถุงน้ำนั้นมาตรวจดูว่าคืออะไร แต่ครั้นจะเจาะเข้าไปก็กลัวจะถึงแก่ชีวิต เพราะจะต้องวางยาสลบและจะเสียเลือดมาก การจะวางยาสลบเม็ดเลือดแดงควรสูงกว่า 30% ตอนนั้นเย่ออยู่ประมาณ 16% เราก็มาโพสต์ขอรับบริจาคเลือดในเฟซบุ๊ก คนก็ใจดีกันนะ ช่วยแชร์เยอะเลย แล้วเพื่อนก็มาบอกเราว่าคนข้างบ้านเค้าพาแมวไปหาอีกที่นึงนะ ที่นั่นหมอเก่ง
 |
ส่วนหนึ่งจากภาพอัลตร้าซาวด์ ที่วงกลมๆ คือถุงน้ำในไต |
เราเลยลองโทรไปคุยก่อน ดูค่ารักษาก็ไม่ได้แพงมากเท่าที่เดิม และมีทางเลือกให้เรา เลยเลือกเปลี่ยนไปที่นั่น ขอใบประวัติการรักษาจากทั้งที่เก่าและที่ใหม่ เอาไปให้หมอ แต่สุดท้ายแล้วหมอเค้าก็ตรวจใหม่ทั้งหมดอยู่ดี
อาการตอนนั้นเพลเยอร์ภายนอกยังดูปกติ ยังกินข้าวได้(แต่น้อยลง) ผอมลง นอนมากขึ้น เสียงที่เอวกร็อบแกร็บจากกระดูกเหมือนน้ำไขข้อน้อยลงมาก เลือดจาง (ไตมีความเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน EPO (erythropoietin) เป็นฮอร์โมนสำคัญที่ใช้สร้างเม็ดเลือดแดง) หมอให้ยาบำรุงไต (Renavast) บำรุงไต ฆ่าพยาธิเม็ดเลือด แก้ปวด ฯลฯ ซึ่งก็รักษาที่นั่นมาเรื่อยๆ อาการทรงบ้างดีบ้างทรุดบ้าง เปลี่ยนอาหารเป็นอาหารโรคไต ให้น้ำเกลือใต้ผิวหนังเอง ส่วนใหญ่จะเป็นวันเว้นวัน ฉีดฮอร์โมน ทำทุกอย่างที่เราจะทำได้ ตอนนั้นจัดอันดับความสำคัญให้แมวเป็นอันดับแรก รีบกลับบ้าน พากันออกมาเดินเล่น ให้เวลา ลูบหัว ลูบตัว พูดปลอบโยนมันเยอะๆ มันจะได้มีกำลังใจ รวมทั้งสรรหาอาหารเสริม อาหารโรคไตทุกชนิดมาไว้ที่บ้าน
***********************************
เกริ่นมาซะยาวเหยียด จะสรุปอาการให้นะคะ
ก.พ.65 เราเริ่มรู้แล้วว่าเย่อไม่ปกติ เลยพาหาหมอ อาการแสดงได้แก่
- เลือดจาง (สาเหตุมี 2 อย่างคือไตกับลูคีเมีย)
- ป่วย
- ไตป่องออกมาข้างตัวเลย 2 ข้าง อัลตราซาวด์ดูจะพบว่ามีถุงน้ำเพียบ กินเนื้อไตไปแล้วด้วย
- น้ำหนักลดลง
- เอาแต่นอน
- กินข้าวได้น้อย
- ฉี่บ่อยมาก ใสมาก ไม่ค่อยมีกลิ่นเหม็นแบบแมวปกติ ถ้าฉี่ในทรายจะเห็นเป็นฟองเหมือนผงซักฟอกเลย บ่งบอกว่าโปรตีนรั่วลงไปในปัสสาวะ
- กินน้ำบ่อยมาก เวลาเราอาบน้ำชอบวิ่งตามไปกินน้ำจากฝักบัว, จากพื้น หรือแม้กระทั่งส้วม เวลาเรารดน้ำต้นไม้ ก็ตามไปกินที่หยดจากก็อกน้ำตลอด แต่ไม่ชอบกินน้ำที่น้ำพุแมว ยกเว้นเวลาเพิ่งเปลี่ยนใหม่ๆ
- ชอบเลียพื้น เลียโอ่งดิน เลียบริเวณที่มีฝุ่นหนาๆ
การรักษาในห้วงแรก
- ตอนแรกเราหลงทางไปทางลูคีเมียเยอะเพราะดูมันภูมิตก เลือดจางและซึมเหมือนป่วยไข้ไม่สบายทั่วไป แต่พอได้ยา ได้บำรุงและฉีดฮอร์โมน EPO แล้ว มันก็ดีขึ้น จากนั้นก็รักษาตามแนวทางโรคไตวายเรื้อรัง
- รักษาตามอาการ แนวทางของโรคไตวายเรื้อรัง แบบประคับประคอง
- โรคนี้ไม่หาย เป็นแล้วก็จะดำเนินสเต็ปต่อๆ ไปเรื่อยๆ
สาเหตุของการเป็นถุงน้ำในไต
- กรรมพันธุ์ เป็นยีนส์เด่น พ่อหรือแม่เป็น ลูกเป็นแน่ๆ แต่บางตัวจะมีมากมีน้อยแตกต่างกัน (เหมือนโรคของคนเลย) ซึ่งของเย่อ เป็นเยอะมาก
- พบบ่อยในแมวพันธุ์เปอร์เซีย และพบในเพศผู้มากกว่าเพศเมีย แต่แมวที่ไม่ใช่เปอร์เซียก็มีโอกาสเป็นได้ เช่น เย่อ
- โดยเฉลี่ยแสดงอาการเมื่ออายุประมาณ 7 ปี
- ไม่มีทางรักษา เจาะน้ำออกมาดูไม่ได้ เพราะถ้าเจาะ เลือดน่าะจะออกเยอะจนเกินไป และอีกแป้บเดียวถุงที่เจาะออกไป ก็เต็มใหม่ และเพราะไตเป็น 1 ใน 4 อวัยวะที่สำคัญมากๆ มีหน้าที่ฟอกเลือด รักษาสมดุลแร่ธาตุในร่างกาย
- แมวไม่มีไตเทียมนะคะ
***********************************
เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน ค่าเลือดเย่อขึ้นมาเยอะในระดับที่น่าพอใจ หมอก็ให้เราให้น้ำเกลือวันเว้นวัน กินยาทุกวัน รักษาไปเรื่อยๆ ตามอาการ นัด follow up ทุกๆ เดือน
ยาที่หมอให้กินก็จะมี
- ยาบำรุงไต เป็นโปรตีน Renovast หมอให้กินวันละเม็ด มื้อเย็น ตอนแรกซื้อจากหมอราคาค่อนข้างแพง เลยยอมหน้าด้านถามหมอว่า ยาชื่ออะไร ขอไปซื้อเองได้มั้ย ก็เลยได้ไปซื้อเอง ถูกกว่าหลายเท่าตัว
- ยาบำรุงเลือด อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ายี่ห้ออะไร หมอให้กินวันละครึ่งเม็ด เป็นเม็ดส้มๆ ราคารับได้ก็เลยกินของหมอต่อ เพราะใช้ให้สัตว์โรคไตกินได้
- สมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน เป็นสารสกัดจากมังคุดและอื่นๆ ไปกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ตอนแรกซื้อของหมอ ราคาค่อนข้างสูง สรุปสุดท้ายเป็นยาเดียวกับที่เรากับแม่ก็กินกันอยู่แล้ว เลยให้เย่อกินด้วย
- ให้น้ำเกลือใต้ผิวหนัง วันเว้นวัน ครั้งละ 200 cc.
- ช่วงไหนเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 30 ก็ต้องให้ฮอร์โมน EPO ด้วย แล้วแต่ มีวันเว้นวันกับ 1 วันเว้น 2 วัน
ส่วนติ่งเนื้อที่หู หมอที่ รพ.นี้ก็ตัดให้ แบบฉีดยาชาแล้วจี้ออกด้วยไฟฟ้าเลย หมอเค้าอุ้มขึ้นไปห้องผ่าตัด แป้บเดียวก็อุ้มลงมา เย่อทำหน้างงๆ อยู่นะ แต่สุดท้ายก็รักษาแผลจนหาย มันก็ไม่ขึ้นอีก แล้วก็รักษายีสต์ เช็ดหู เรื่อยมา คาดว่าเกิดจากมันคันหู แล้วก็สะบัดหูเยอะ จนเลือดไปคั่งเหมือนกับเส้นเลือดขอด แต่ของมันไปขอดที่หู
อาหาร ให้เป็นอาหารสำหรับประกอบการรักษาโรคไต ทั้งแบบเม็ด แบบอาหารเปียก หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อยๆ เพราะมันจะเบื่อเร็วมาก เราต้องมีติดบ้านไว้ทุกยี่ห้อเลย แต่สิ่งที่ชอบที่สุดคือ เอาอาหารเปียกปั่นผสมกับอาหารเม็ดที่แช่น้ำให้นิ่มๆ ปั่นให้ละเอียด (ผสมยี่ห้อได้) ใส่น้ำนิดนึงแต่อย่าเยอะเพราะจะเหลวเกินไป ทำทีละเยอะๆ ไปเลย แบ่งใส่ถุงถุงละ 50 ml ตามไซส์ของไซริ้งส์ แช่ตู้เย็นไว้ ให้กินด้วยการใส่ไซริ้งส์แก้วแล้วบีบให้กินแบบเดียวกับขนมแมวเลีย เย่อชอบมาก กินได้มากสุดวันละ 3-4 ถุงเลยนะ แต่ก็แล้วแต่อาการของเค้า ช่วงไหนค่าของเสียน้อยก็กินเยอะ แต่ถ้าค่าของเสียเยอะจะไม่อยากกิน ให้กินแบบดีต่อทั้งเราและแมว ไม่ต้องป้อนให้เครียด มีความสุขกันทั้งคนทั้งแมว
***********************************
ต่อมาประมาณเดือน ต.ค.65
เย่อเริ่มอ้วกเยอะขึ้น เริ่มจากวันละครั้ง เป็นวันละ 2 ครั้ง แล้วมีอยู่วันนึง เราออกมาทำงานแต่เช้า กลับเข้าไปเจออ้วก 6 กอง บางกองมีเลือดปน สงสารมาก เลยรีบพาไปหาหมอ หมอฉีดยาระงับอ้วกให้ กับให้ยาเคลือบกระเพาะกับยาลดกรดมาเพิ่ม แล้วให้เราให้น้ำเกลือ วันนั้นตรวจเลือด ค่าไตเริ่มดีดตัว ส่วนของเสียก็สูงลิ่วเลย ขาดน้ำ ต้องให้น้ำเกลือเพิ่มเป็นทุกวันแทน
- ถ้าแมวอ้วก 2 รอบใน 1 วัน (ไม่ใช่สำรอก อ้วกมันจะดูทรมานกว่าการสำรอกนะ) ให้พาไปหาหมอได้เลย ไม่ต้องมากกว่านั้น
- เวลาให้กินยาที่เป็นแคปซูล ให้เราเอาแคปซูลลอยน้ำซักครู่นึงให้มันลื่นๆ แมวจะกินยาง่ายขึ้นมากๆ
- เวลาจะให้น้ำเกลือ เราจะเอาขวดน้ำเกลือมาขีดเอาไว้ว่าจะต้องให้กี่ cc แล้วก่อนให้ทุกครั้ง จะเอามาแช่น้ำร้อน ประมาณ 20 วินาที ให้น้ำเกลืออุ่นขึ้น ให้จับๆ ดู อุณหภูมิใกล้เคียงกับตัวเรา แมวจะไม่หนาวสั่นเวลาให้น้ำเกลือ แต่ถ้าไว้นานไป ร้อนไป ก็เหมือนลวกน้องนะคะ ต้องรอให้เย็นก่อน
- การให้น้ำเกลือเข้าเส้น จะได้ผลดีกว่าการให้น้ำเกลือใต้ผิวหนัง เพราะการให้เข้าเส้นมันไปที่เลือดเลย ให้ใต้ผิวหนังต้องรอดูดซึมอีก ซึ่งใช้เวลามากกว่า
ตอนนั้นหมอบอกว่าท่าไม่ดีแล้วนะ ให้ตัดสินใจว่าจะรักษายังไงต่อ หมอให้ตัวเลือกมา
- ทำคีโม เพราะหมอเชื่อว่าถุงน้ำในไต คือเนื้องอกมะเร็ง ถ้าคีโมปุ้บหมอบอกว่าถุงจะฝ่อเลย เห็นจากแมวตัวอื่น (แต่มันก็เป็นมะเร็งชนิดอื่น เป็นจุดอื่น และไม่ใช่ PKD)
- รักษาประคองอาการไปเรื่อยๆ
เราเลือกตัวเลือกหลัง เลือกจะประคองไปเรื่อยๆ เพราะเราเองก็ค้นคว้าเยอะนะ เว็บฝรั่งเค้าบอกให้แยกระหว่าง PKD กับ Lymphoma (เนื้องอกมะเร็งต่อมน้ำเหลือง) ซึ่งก็เข้าใจว่าโรคนี้ ถุงน้ำเบียดเนื้อไตจนหายไปเยอะแล้ว เสียไปก็มากแล้ว แม้จะไปคีโมให้ถุงน้ำฝ่อ เนื้อไตก็ไม่กลับมาอยู่ดี และก็ไม่แน่ว่าถ้าคีโมไป ถุงน้ำจะฝ่อจริงๆไหม เย่อจะทนได้ไหม ตัวก็เล็กแค่นั้น ถ้าเย่อทนไม่ได้เราก็คงรู้สึกผิดที่เลือกทางนั้น อีกอย่างหนึ่ง เราให้เย่อกินอาหารเสริม BIM100 ต้านมะเร็งอีกทาง (ซึ่งแม่เราก็เคยเป็นมะเร็ง กินตัวนี้ และมะเร็งหายมาเกิน 10 ปี แล้ว เป็นวิจัยของคนไทย แล้วไม่ใช่อะไรอื่น หมอเอามาให้กินก่อนนั่นแหละ แต่โดสมันไม่สูง เราหามา ราคาถูกแล้วโดสสูงกว่า) เย่อกินแล้วดูสุขภาพดีขึ้นด้วย ก็เชื่อว่ามะเร็งไม่ได้เป็นปัญหาของเย่อ ณ ตอนนั้น
กลับมาบ้านก็กินยาเหมือนเดิม ให้น้ำเกลือต่อไปเรื่อยๆ
***********************************
จนกระทั่ง 19 พ.ย. 65 สังเกตุว่าเย่อเริ่มตัวบวม ท้องบวม มือ ขา หน้า บวมหมดเลย ก็เลยพาไปหาหมอในวันที่ 24 พ.ย. ตามนัด ตรวจเลือด ค่าไต ค่าของเสีย แร่ธาตุ ซึ่งสูงลิบลิ่วมาก อุณหภูมิร่างกายไม่ถึง 100 องศาฟาเรนไฮต์ หมอบอกว่ามีน้ำในช่องท้อง และลองอัลตราซาวด์ดู ถุงน้ำในไตมันใหญ่ขึ้นอีก 2+ เท่าจากเดิม ใต้ผิวหนังก็มีน้ำ ซึ่งน้ำเกลือที่ให้ไปดูดซึมช้าแล้ว ให้หยุดให้น้ำเกลือก่อน รอจนกว่าจะยุบลง ให้ยาแก้ปวดเส้นประสาทมาด้วย และให้ชั่งฉี่ พอรอบต่อไปเอาผลชั่งฉี่ไปให้หมอ หมอก็บอกว่ามันก็ปกตินะ กลับบ้านกินยาเหมือนเดิม ส่วนน้ำเกลือให้รอดูก่อนว่า ที่ให้ไปรอบก่อน แห้งหรือยัง ถ้าแห้งค่อยให้ (อันนี้หมอไม่ได้บอก เรามาทำความเข้าใจทีหลังก็คือ ไตเริ่มหยุดทำงาน การดูดซึม การขับน้ำ ทำได้ช้าลงมาก และที่อุณหภูมิร่างกายต่ำ ก็เพราะว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายแล้ว)
 |
ท้องบวม ตัวบวมเพราะน้ำเกลือคั่ง |
หมอให้ยาแก้ปวดเส้นประสาทมาด้วย ให้มาเพราะว่าเย่อมันเกร็งท้อง พอให้กินยาแล้วตัวอ่อนปวกเปียก เดินตุปัดตุเป๋ น่าสงสารมากๆ เลย แทบทำใจไม่ได้ ตั้งแต่ที่ได้ยามาก็ต้องอุ้มไปฉี่ ทุกๆ 3 ชั่วโมง มันก็ฉี่ให้เรานะ แต่ถ้าไม่ได้อุ้มไป มันก็จะฉี่และอึตรงที่นอน ตอนนั้นงงมากไม่เข้าใจว่าทำไม (ทำไมไม่คิดให้ได้ว่ามันไปไม่ไหว) ส่วนลุกเดินไปกิน น้อยมากๆ ไม่ลุกไปเล่นเลย ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างอีกต่อไปแล้ว กินอาหารน้อยลงก็ไม่อ้วกอีก ช่วงนี้อาหารจะชอบกิน Renal select แบบเม็ดมากกว่าแบบที่เราปั่นให้ แต่ก็เล็มๆ เท่านั้นแหละ ไม่ได้กินมากมายอะไร
27 พ.ย.65 ตรงกับวันเกิดเรา เราตื่นมาก็หันหาเย่อเป็นอันดับแรก เห็นมันนอนอยู่ที่เดิม เอาคางพาดขอบที่นอน แต่หน้าตาซีดเซียว หลับแบบไม่ค่อยได้สติ เลยเรียกชื่อ เพลเย่อไป 4-5 ครั้ง กลัวมาก กลัวมันจะตายในวันนั้นเลย แต่พอเรียกแล้วก็ยังตอบสนอง ก็เลยโล่งใจ....
 |
ตอนนั้นใส่เสื้อให้ และติดนอนท่านี้มาก ไม่รู้ว่าเริ่มชาๆ ปลายลิ้นหรือยัง แต่อาการแย่แล้วแน่ๆ |
อาการมันก็ดีขึ้นสลับแย่ลง เรื่อยๆ ขึ้นลงตามค่าไตกับค่าของเสีย (แต่ก็นับว่าวิกฤติ ทุกอย่างต้องลุ้นรายวัน) ต้นเดือน ธ.ค. ขามันเริ่มกลับมาบวมอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่บวมครั้งก่อน ครั้งนี้มันบวมแค่ที่ขา และจับดูก็แข็งๆ ไม่เหมือนตอนบวมน้ำเกลือที่ให้ใต้หนัง มันจะนิ่มๆ โทรไปถามหมอ หมอก็บอกมี 2 อย่าง โปรตีนรั่ว หรือน้ำเกลือ (แต่หมอไม่ได้บอกว่าเกี่ยวกับแร่ธาตุในเลือดเกิน เรามาหาอ่านเจอทีหลังตอนมันเสียไปแล้ว) หมอก็ให้งดน้ำเกลือ แล้วพูดว่า ปล่อยให้แห้งน้ำไปก็ได้ อะเราก็ทำตาม ซึ่งก็พอเข้าใจหมอนะ วันนั้นเราโทรหาเฉยๆ ไม่ได้ไปให้หมอตรวจเลือด
 |
ขาหลังด้านซ้าย บวมมาก |
วันถัดมา เป็นวันที่ 5 ธ.ค.65 เย่อตัวกระตุก ถ่ายวิดีโอดูเหมือนกระตุกไม่แรง แต่นานเป็นชั่วโมง เป็นการกระตุกแบบควบคุมไม่ได้ เราป้อนน้ำให้มันกิน มันก็กินแบบหิวกระหายเลยล่ะ แต่ก็กินได้ไม่เยอะ คงไม่อยากกิน... กระตุกอยู่ชั่วโมงกว่าก็หลับไป เราก็ถ่ายวิดีโอส่งไลน์ให้หมอ หมอโทรมาหาตอนเย็น เราก็ถามว่า แล้วอาการต่อไปคืออะไร หมอบอกว่าชัก บางตัวก็ชักแล้วยังกลับมา บางตัวก็ชักแล้วหลับไปเลย ยังไงดูอาการก่อนก็ได้ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ดีขึ้นให้พามาแอดมิทให้น้ำเกลือเข้าเส้น และในระหว่างนี้ ให้เราซื้อน้ำยาบ้วนปาก C-20 มาเจือจางเพื่อล้างปากมัน ลดแบคทีเรีย ลดแผลในปากและกลิ่นปาก (เพิ่งรู้จากคนที่เลี้ยงแมวโรคไตคนอื่นว่าความเสี่ยงคือถ้าน้องกินเข้าไปจะทำให้ค่าไตขึ้นอีก นี่เรารู้หลังจากเย่อเสียไปแล้วนะ)
วันถัดมา 6 ธ.ค. 65 เราสังเกตว่ามันไม่กระตุกเพิ่ม แต่ตอนเที่ยงเราต้องออกไปทำงาน กว่าจะกลับมาถึงก็ 2 ทุ่มเพราะรถติดมากๆ แล้วระหว่างขับรถก็ง่วงเหลือเหตุ เลยจอดนอนในปั๊มน้ำมัน ทั้งๆ ที่อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว แต่เราอยากหลับจริงๆ ต้องหลับให้ได้เลย วันนั้นก็เลยไม่เห็นเย่อกระตุก และไม่ได้พาไปหาหมอที่ รพ.เพื่อแอดมิท (มาลองนึกดู เหมือนตอนนั้นเลยที่พ่อเสีย เราก็ง่วงแบบนี้) กลับมาถึงห้องก็ง่วงหลับต่ออีกแป้บ แล้วก็ไปซักผ้า กลับมาถึงห้อง 5 ทุ่ม ประมาณตอนดึก ตี 2 - ตี 3 ของวันที่ 7 ธ.ค. 65 ก็นั่งคุยกับเย่อก่อนนอน วันนั้นเราหลับตอนตี 3 กว่า เย่อทำหน้าตาไม่ดีเลย ช่วง 2-3 วันนั้นมันชอบนอนลืมตา ทำให้ตาแห้งแบบเห็นชัดมาก แต่ไม่รู้ต้องช่วยยังไง (มาอ่านเจอทีหลังว่าใช้น้ำตาเทียม หรือยาป้ายตา ทาให้ได้ และได้ข้อมูลเพิ่มทีหลังอีกว่ามันเป็นอาการทางประสาทส่วนกลาง ที่ควบคุมการหลับตาลืมตา มันไม่สามารถควบคุมได้แล้ว เพราะว่าของเสียในเลือดเยอะจนเกินไปแล้ว) วันนั้นก็บอกเย่อว่า ถ้าเย่อเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว หนูไปได้เลยนะครับ ไม่ต้องห่วงหม่าม้า จะได้ไม่ต้องเจ็บ ทุกข์ทรมานอีก หม่าม้ารักเย่อนะ แล้วก็บอกฝันดี (จากที่ไม่ได้บอกเลยหลังจากมันทรุด)
 |
รูปนี้ เราเอาเย่อมาอุ้มไว้ที่ตัก แล้วมันเอาคางมาพาดขาเรา ซึ่งเราไม่รู้จริงๆ ว่าอีกแค่ 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น เย่อจะหลับไปตลอดกาล |
ตอน 05.17 น. ของวันที่ 7 ธ.ค.65 ก็คือเช้าของคืนที่ผ่านมานั่นแหละ เราได้ยินเสียงจากตู้ที่เย่อนอน ก็ตื่นเลย พลางคิดว่ามันชักรึป่าว เลยรีบลุกไปเปิดไฟ เห็นท่าทางไม่ปกติ ยืดตัวเกร็งตัวแล้ว ก็ยกมาอุ้ม กอดเอาไว้ แล้วเรียกชื่อ สติก็หลุดนะแต่หลุดไม่มาก เห็นลิ้นคาปากเหมือนจะคาฟันด้วยเลยเอานิ้วเขี่ยออกไม่ให้มันกัดลิ้นตัวเอง เย่อมันก็ยังอ้าปากตามได้อยู่ พอมันรู้ว่าเป็นเรา แป๊บเดียวเท่านั้น มันก็นิ่งไป เห็นแบบนั้น ไม่ได้เตรียมคำพูดไว้ก่อน พูดได้แค่ "ไปดีนะลูก" กอดเขาไว้พักใหญ่ๆ เลย จากนั้นก็เอาผ้ารองกันเปื้อนมาวาง เอาเบาะมาวาง เราวางเย่อบนนั้น ท่าทางของเพลเย่อร์ เหมือนแมวนอนหลับปกติเลย
สิริรวมอายุ 8 ปี 10 เดือน, 8 ปี 8 เดือน ที่อยู่ด้วยกัน
สรุปอาการก่อนจากไป ประมาณไม่เกิน 1 สัปดาห์
- เพลเยอร์ไม่ลุกเดินไปไหนเลย
- ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ ถ้าเราอุ้มไปก็แค่เอาจมูกไปใกล้ๆ เหมือนกจะกิน แต่ไม่กิน ป้อนอาหารได้บ้าง แต่น้อยมาก เน้นให้กินน้ำเพราะตอนนั้นไม่ได้ให้น้ำเกลือ กลัวจะแห้งน้ำเกินไป แต่ตัวก็บวมนะ เพราะไตไม่สามารถทำงานได้แล้ว ถึงทำได้ก็น้อยมากๆๆๆ
- อุ้มไปวางตรงไหน ก็นอนตรงนั้น แทบไม่เปลี่ยนท่าด้วยซ้ำ
- นอนฉี่ตรงที่นอน มากบ้าง น้อยบ้าง ฉี่ใสปิ้ง กลิ่นน้อยมาก นอนทับอึทับฉี่
- แต่ถ้าอุ้มไปฉี่ ให้พาไปทุก 3 ชั่วโมง บวกได้นิดหน่อย มันจะโยกเยกเวลานั่งฉี่
- กลิ่นปากแรงมาก กลิ่นเหมือนฉี่เปี๊ยบ ยิ่งวันหลังๆ ยิ่งเหม็น หมอบอกให้ใช้ C-20 เจือจางกับน้ำ ฉีดล้างปาก ฆ่าเชื้อแบคทีเรียจะได้ไม่มีแผลในปาก หรือจะใช้ nano spray ก็ได้นะ กินได้ด้วย
- ตาวาว ตาแข็ง นอนไม่หลับตา ไม่กระพริบตา ตาแห้ง ในคืนก่อนน้องจะไป เราลองเอาไฟฉายส่องดู ม่านตาไม่ตอบสนองแล้ว
- ตัวบวมเป็นบางจุด เริ่มจากขาบวมก่อน เดินเป๋ๆ ไปจนถึงกระโดดลงจากที่สูงแล้วทรงตัวไม่ได้ ต่อมาก็พัฒนาเป็นเดินไม่ได้ สุดท้ายที่เห็นเดินคือ มันลุกเดิน 1 ก้าว แล้วขาหลังไม่มีแรง ล้มพับลงมันก็มองหน้าเรา เราก็เลยไปอุ้ม ปลอบมัน แล้วพาไปนอน
- มีอาการเกร็งท้องเป็นช่วงๆ ช่วงไหนปวดมากก็เกร็งมาก วิธีสังเกตว่ามันปวดท้อง หรือปวดหลัง ก็คลำท้องดู ถ้าท้องแข็งคือเกร็ง แล้วถ้าปวดหลัง จะหลังโก่ง เราสังเกตเย่อคือขนที่หลังตั้งขึ้นมาเป็นกระโดง
- ไตใหญ่มากกกกกก ถุงน้ำใหญ่มากกกกกกก เบียดเนื้อไต เบียดทุกอย่างในไต จนไตไม่ทำงาน ไม่ขับน้ำ ไม่กรองของเสียแล้ว จนของเสียในเลือดสะสมมาก
- อึเหลว สีดำ เหนียวๆ บางครั้งอึออกมาน้อยเพราะกินน้อย ก็ติดที่ก้น เราต้องใช้วิธีรวบขาให้ก้นห้อยแล้วเอาฟ้อกกี้ฉีดก้นฉีดเลย ที่อึเป็นสีดำเพราะกินยาบำรุงเลือดอยู่ตลอด
- เจอทีหลังว่าสาเหตุที่กระตุก เป็นการกระตุกแบบควบคุมไม่ได้ เพราะฟอสฟอรัสในเลือดสูง ทำให้การควบคุมร่างกายของสมองส่วนกลางไม่สามารถควบคุมได้แล้ว เป็นอาการทางประสาท สอดคล้องกับการขาบวม และอ่อนแรง เดินเหินลำบาก ซึ่งจะลดฟอสฟอรัสได้ ก็ต้องให้แคลเซียมเสริมเข้าไป เพื่อให้ไปจับฟอสฟอรัส มันมียาผงๆ สำหรับดักฟอสฟอรัส แต่เคสเย่อ หมอไม่ได้แจ้งให้กิน ยังไงจะทำอะไรก็ต้องฟังสัตวแพทย์ก่อน (ข้อมูลส่วนนี้เราหาข้อมูลเองทีหลัง หาข้อมูลเกี่ยวกับโรคไตในคนอ่านประกอบ)
***********************************
เช้าววันนั้น เราก็นอนไม่หลับอีก พอถึงเวลาทำการก็ติดต่อวัด เราพาเย่อไปวัดบางบัวแถวบางเขน ให้พระมาทำพิธี ชักบังสุกุล วางดอกไม้จันทน์ ถวายสังฆทาน กรวดน้ำ ให้มัน จากนั้นผู้ดูแลตรงนั้นเค้าก็เตรียมเตา แล้วก็เอาเย่อเข้าไป
 |
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สู่สุคตินะครับเพลเยอร์ |
 |
ตกเย็น เราก็ไปรับกลับมา เค้าห่อผ้าดิบแล้วเอาใส่ถุงแบบนี้ไว้ให้ |
ตอนนี้เราเอากระดูกใส่โกศเอาไว้ ไม่รู้จะเอาไว้ไหน ก็ไว้ที่ห้องนี่แหละ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราก็ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิ และกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เพลเยอร์ด้วย
วันนี้ครบ 1 สัปดาห์พอดี ที่ผ่านมาร้องไห้เยอะเลย บางครั้งก็นอนไม่หลับ เวลาผ่านมาก็พอทำใจได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ 100% บางครั้งก็ยังคงได้ยินเสียงมันสะบัดหัว เสียงเดิน แม้กระทั่งเสียงหายใจงื้ดๆ ล่าสุดเมื่อเช้าได้ยินเสียงร้องเรียกด้วย แต่ก็เชื่อว่าสักวัน ความเศร้านี้จะลดลง และสามารถมีความสุขได้เต็มที่อีกครั้ง เพราะตอนที่เรามีกัน ก็มีความสุขมากๆ เลยนี่นา
***********************************
ขอบคุณหลายๆ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ สุดท้าย สิ่งที่อยากฝากถึงสัตวแพทย์ก็คือ ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือ ให้เพลเยอร์มีคุณภาพชีวิตที่ดีในวาระสุดท้าย แต่มากกว่านั้นคือการสื่อสาร อยากให้พูดคุยกันตรงๆ กับเจ้าของ ให้ข้อมูลความเสี่ยง ข้อมูลทุกอย่าง เพราะเจ้าของอาจจะไม่ได้มีสติมาจดจำสิ่งที่หมอพูดอ้อมๆ แล้วเข้าใจได้ในทันที ถ้าเค้าจะร้องไห้ ก็ต้องยอมให้เค้าร้องไห้ได้ด้วย เราเข้าใจว่าคงไม่อยากจะต้องแบกความรู้สึกแย่ๆ ของใคร แต่เอาจริงๆ นะ ใจเขาใจเรา เจ้าของสัตว์เลี้ยงยอมจ่ายเงินเพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเพราะเค้ารัก แล้วที่จ่ายแต่ละครั้งไม่ใช่น้อยๆ เงินมี วุฒิภาวะก็มีกันอยู่แล้ว ต้องบอกกันตรงๆ นะคะ เราเองก็หาข้อมูลเยอะแยะ บางอย่างที่หมอพูดอ้อมโลก ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจตั้งหลายวัน แล้วมันทำให้รับข้อมูลได้ไม่ครบถ้วนด้วย
***********************************
เว็บหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติม
(จริงๆ แล้วหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคไตของคนมาเทียบเคียงด้วยก็ได้นะคะ อาการคล้ายกันมากๆ เลย ซึ่งคนก็มีโรค PKD เช่นกัน)